วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

บทที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศ


แบบฝึกหัด
บทที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศ                                                                           กลุ่มเรียน. 2
รายวิชา  การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                                 รหัสวิชา  0026008
ชื่อ-สกุล    นาย  อนุพงษ์  สุวรรณศรี                                                        รหัส. 57011210105
คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้
1. ให้นิสิตยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตามหัวข้อต่อไปนี้ อย่างน้อยหัวข้อละ 3 ชนิด แล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจสอบกับเพื่อน
1) การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล   
    Floppy Disk
    Harddisk
    External Harddisk               
2) การแสดงผล
     โปรเจคเตอร์ ( Projector )
    อุปกรณ์สำหรับพิมพ์งาน ( Print Device )
    หูฟัง ( Headphone     
3) การประมวลผล              
    ซีพียู (CPU)
    หน่วยความจำหลักแบบอ่านได้อย่างเดียว (Read Only Memory - ROM)
    หน่วยความจำหลักแบบแก้ไขได้ (Random Access Memory - RAM)            
4) การสื่อสารและเครือข่าย
    โมเด็ม (Modem)
    การ์ดเครือข่าย (Network  Adapter) หรือ การ์ด LAN
    เกตเวย์ (Gateway)

2.     ให้นิสิตนำตัวเลขในช่องขวา มาเติมหน้าข้อความในช่องซ้ายที่มีความที่สัมพันธ์กัน

 8   ซอฟต์แวร์ประยุกต์
1. ส่วนใหญ่ใช้ทำหน้าที่คำนวณ ประมวลผลข้อมูล
10  Information Technology
2. e-Revenue
 1   คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูล
3. เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการเกี่ยวกับสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกต้องแม่นยำ และความรวดเร็วต่อการนำไปใช้
  3  เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย
4.มีองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ส่วน ได้แก่ Sender Medium และDecoder
  6  ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการททำงาน
5. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการรับ-ส่งเอกสารจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งโดยส่งผ่านเครือข่าย
  7  ซอฟต์แวร์ระบบ
6. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  9  การนำเสนอบทเรียนในรูปมัลติมีเดียที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ตามระดับความสามารถ
7. โปรแกรมที่ทำหน้าที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์
  5   EDI
8. โปรแกรมระบบห้องสมุดอัตโนมัติ จัดเป็นซอฟต์แวร์ประเภท
  4   การสื่อสารโทรคมนาคม
9. CAI
  2   บริการชำระภาษีออนไลน์
10. ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

บทที่ 3 การรู้สารสนเทศ

แบบฝึกหัด
บทที่ 3 การรู้สารสนเทศ                                                                              กลุ่มเรียน. 2
รายวิชา  การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                              รหัสวิชา  0026008
ชื่อ-สกุล    นาย  อนุพงษ์   สุวรรณศรี                                                     รหัส  57011210105

คำชี้แจง จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
1. ข้อใดเป็นความหมายที่ถูกต้องที่สุดของการรู้สารสนเทศ
ก. ความสามารถในการกลั่นกลอง และประเมินค่าสารสนเทศที่หามาได้
ข. ความสามารถในการตัดสินใจใช้สารสนเทศรูปแบบต่างๆ
ค. ความสามารถของบุคคลในการสืบค้นและพัฒนาสารสนเทศ
ง. ความสามารถของบุคคลในการเข้าถึง ประเมิน และใช้งานสารสนเทศ
2. จากกระบวนการของการรู้สารสนเทศ ทั้ง 5 ประการ ประการไหนสำคัญที่สุด
ก. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ
ข. ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ
ค. ความสามารถในการประมวลผลสารสนเทศ
ง. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของผู้รู้สารสนเทศ
ก. สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
ข. สามารถใช้สารสนเทศในการดำเนินชีวิต
ค. ชอบใช้คอมพิวเตอร์ในการเล่นเกม
ง. ใช้คอมพิวเตอร์ในการแสวงหาสารสนเทศได้
4.ข้อใดไม่ใช่ความสำคัญของการรู้สารสนเทศ
ก.  โลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเน้นวัตถุนิยมมากขึ้น
ข.  ช่วยให้บุคคลประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต
ค.  สารสนเทศมีการเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว จนยากที่จะเข้าถึง
ง.   ช่วยบุคคลเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการเรียนรู้ตลอดชีวิต
5. ข้อใดเป็นการเรียงลำดับขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้สารสนเทศที่ถูกต้อง

1. ความสามารถในการประมวลสารสนเทศ

2. ความสามารถในการประเมินสารสนเทศ
3. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
4. ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ
5. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ

 ก. 1-2-3-4-5                 ข. 2-4-5-3-1              ค. 5-4-1-2-3              ง. 4-3-5-1-2

คำตอบ
1. ง.
2. ง.
3. ค.
4. ก.
5. ค.

บทที่ 2 บทบาทสารสนเทศกับสังคม

แบบฝึกหัด


บทที่  บทบาทสารสนเทศกับสังคม                                                    กลุ่มเรียน 2
รายวิชา  การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                      รหัสวิชา  0026008

ชื่อ-สกุล  นาย อนุพงษ์ สุวรรณศรี                                                 รหัส.57011210105
คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้

1.ให้นิสิตหารายชื่อเว็บไซต์หรือเทคโนโลยีที่ให้บริการต่าง ๆ ตามหัวข้อเหล่านี้มาอย่างละ 3 รายการ
1.1 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาการศึกษา

1.2 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพธุรกิจ พาณิชย์ และสำนักงาน

1.3 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพการสื่อสารมวลชน
1.4 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางอุตสาหกรรม
1.5 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางการแพทย์
1.6 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทหารตำรวจ
1.7 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพวิศวกรรม
1.8 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพด้านเกษตรกรรม
1.9 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับคนพิการต่าง ๆ

2. มหาวิทยาลัยมหาสารคามเตรียมเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษาให้กับท่าน มีอะไรบ้าง บอกมาอย่างน้อย 3 อย่าง

      คอมพิวเตอร์
      เว็ปไซต์
      e-book

3. ข้อ 2 จงวิเคราะห์ว่าท่านจะเอาเทคโนโลยีเหล่านั้น มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองอย่างไรบ้าง

     คอมพิวเตอร์ นำมาใช่ในการทำงานในการนำเสนอข้อมูลต่างๆ
     เว็ปไซต์ นำมาใช้ในการหาข้อมูลต่าง
     e-book เป็นการนำเอาหนังสือเรียนไปเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อง่ายต่อการเก็บรักษา
  

บทที่1 แนวคิดและแนวโน้มเกี่ยวกับข้อมูลสารสนเทศยุคใหม่



                                                แบบฝึกหัด
บทที่ 1 (กิจกรรม1)                                                                                  กลุ่มที่เรียน. 2
รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                                    รหัสวิชา 0026 008
ชื่อ -สกุล นาย อนุพงษ์ สุวรรณศรี                                                             รหัส. 57011210105
จงเติมในช่องว่างว่าข้อใดเป็นข้อมูล หรือสารสนเทศ
1.ข้อมูลหมายถึง...ข่าวสาร เอกสาร ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบุคคล สิ่งของหรือเหตุการณ์ในรูปแบบของตัวเลข ภาพ ตัวอักษร และสัญลักษณ์ต่างๆ
2.ข้อมูลปฐมภูมิคือ ...ข้อมูลที่ได้มาจากการที่ผู้ใช้เป็นผู้เก็บข้อมูลโดยตรง ซึ่งอาจจะเก็บด้วยการสัมภาษณ์หรือสังเกตการณ์ เป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด เนื่องจากยังไม่มีการเปลี่ยนรูป และมีรายละเอียดตามที่ผู้ใช้ต้องการ แต่จะต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายมาก เช่น ข้อมูลที่ได้จากการนับจำนวนรถที่เข้า - ออก มหาวิทยาลัยในช่วงเวลา 08.00 - 09.00 น . ข้อมูลจากการสัมภาษณ์นักศึกษา
3.ข้อมูลทุติยภูมิคือ ...ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลที่มีผู้เก็บรวบรวมไว้แล้ว เป็นข้อมูลในอดีต และมักจะเป็นข้อมูลที่ได้ผ่านการวิเคราะห์เบื้องต้นมาแล้ว ผู้ใช้นำมาใช้ได้เลย จึงประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย บางครั้งข้อมูลทุติยภูมิจะไม่ตรงกับความต้องการหรือมีรายละเอียดไม่เพียงพอ นอกจากนั้นผู้ใช้จะไม่ทราบถึงข้อผิดพลาดของข้อมูล ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ที่นำมาใช้ สรุปผลการวิจัยผิดพลาดไปด้วย เช่น สถิติการเกิดอุบัติเหตุโดยรถจักรยานยนต์ของนักศึกษาในปี 2540 - 2541 เป็นข้อมูลที่บางครั้งอาจถูกแปรรูปไปแล้ว แต่เนื่องจากบางครั้งเราไม่สามารถที่จะจัดเก็บข้อมูลปฐมภูมิได้เราจึงต้องศึกษาจากข้อมูลที่มีการเก็บรวบรวมไว้แล้ว
4.สารสนเทศหมายถึง...ข้อมูลที่มีสาระอยู่ในตัว สามารถสื่อความหมายให้เกิดการเข้าใจกับผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูลนั้น และสามารถที่จะนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้การที่จะได้มาซึ่งสารสนเทศที่ต้องการนั้นจะต้องนำข้อมูล (data) ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สนใจมาทำการประมวลผลเสียก่อน โดยข้อมูลที่นำมาประมวลผลนั้นอาจจะมาจากแหล่งข้อมูลทั้งภายในหรือภายนอกองค์การ
5.จงอธิบายประเภทของสารสนเทศ...
1.ระบบสารสนเทศแบบประมวลรายการ (TPS:Transaction Processing Systems )
เป็นระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับการบันทึกและประมวลข้อมูลที่เกิดจาก ธุรกรรมหรือการปฏิบัติงานประจำหรืองานขั้นพื้นฐานขององค์การ เช่น การซื้อขายสินค้า การบันทึกจำนวนวัสดุคงคลัง
2.ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (MIS:Management Information System)
คือระบบที่ให้สารสนเทศ ที่ผู้บริหารต้องการ เพื่อให้สามารทำงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะรวมทั้งสารสนเทศภายในและภายนอกสารสนเทศที่เกี่ยวพันกับองค์กรทั้งในอดีตและปัจจุบัน นอกจากนี้ระบบนี้จะต้องให้สารสนเทศในช่วงเวลาที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการวางแผนการควบคุม และการปฏิบัติการขององค์กรได้อย่าง ถูกต้อง
3.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (DSS:Decision Support System)
เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นจากระบบ MIS อีกระดับหนึ่ง เนื่องจาก ถึงแม้ว่าผู้ที่มีหน้าที่ในการตัดสินใจจะสามารถใช้ประสบการณ์หรือใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วในระบบเอ็มไอเอส ของบริษัท สำหรับทำการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพในงานปกติ
4.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม (GDSS:Group Decision Support System)
เป็นระบบย่อยหนึ่งในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ โดยที่ระบบสนับสนุนการตัดสินใจจะช่วยผู้บริหารในเรื่องการตัดสินใจในเหตุการณ์หรือกิจกรรมทางธุรกิจที่ไม่มีโครงสร้างแน่นอน หรือกึ่งโครงสร้าง
5.ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS:Geographic Information System )
คือกระบวนการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลในเชิงพื้นที่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กำหนดข้อมูลและสารสนเทศ ที่มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ เช่น ที่อยู่ บ้านเลขที่ สัมพันธ์กับตำแหน่งในแผนที่ ตำแหน่ง เส้นรุ้ง เส้นแวง ข้อมูลและแผนที่ใน GIS เป็นระบบข้อมูลสารสนเทศที่อยู่ในรูปของตารางข้อมูล และฐานข้อมูลที่มีส่วนสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data)
6.ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง (EIS:Excutive Information System)
เป็นระบบที่สร้างขึ้น เพื่อสนับสนุน สารสนเทศและการตัดสินใจสำหรับผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะ หรือ สามารถกล่าวได้ว่าระบบนี้คือส่วนหนึ่งของ DSS ที่แยกออกมา เพื่อเน้นการให้สารสนเทศที่สำคัญต่อการบริการแก่ผู้บริหาร
7. ปัญญาประดิษฐ์ (AI:Artificial Intelligence)
ระบบที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้ชำนาญการณ์ ในสาขาใดสาขาหนึ่ง คล้ายกับมนุษย์ ระบบผู้เชี่ยวชาญมีส่วนคล้ายคลึงกับระบบอื่นๆ คือเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ช่วยผู้บริหารแก้ไขปัญหาหรือทำการ ตัดสินใจได้ดีขึ้น อย่างไรก็ดีระบบผู้เชี่ยวชาญจะแตกต่างกับระบบอื่นอยู่มาก
8.ระบบสำนักงานอัตโนมัติ (OAS: Office Automation System)
เป็นระบบที่ใช้บุคลากรน้อยที่สุด โดยอาศัยเครื่องมือแบบอัตโนมัติและระบบสื่อสารเชื่องโยงข่าวสารระหว่างเครื่องมือเหล่านั้นเข้าด้วยกัน QAS มีจุดมุ่งหมายให้เป็นระบบที่ไม่ใช้กระดาษ (Paperless System) ส่งข่าว สารถึงกันด้วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange) แทน ซึ่งมีรูปแบบในการใช้งาน 2 ลักษณะคือ
รูปแบบของระบบงานพิมพ์และการประมวลผลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Publishing & Processing System) ได้แก่การสื่อสารด้วยข้อความ รูปภาพ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail : E-Mail) โทรสาร (FAX)หรือ เสียงอิเล็กทรอนิกส์ (Voice Mail) เป็นต้น
รูปแบบการประชุมทางไกลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Meeting System) เป็นเทคนิคที่ทำให้กลุ่มคนทั่วโลกสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ คล้ายการพูดคุยกันโดยตรง เช่น การประชุมทางไกลแบบมีแต่เสียง (Audio Conferencing),การประชุมทางไกลแบบมีทั้งภาพและเสียง (Video Conferencing) หรือ ทั้งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โทรสาร และ เสียงอิเล็กทรอนิกส์รวมกัน เป็นต้น
6.ข้อเท็จจริงของสิ่งต่างๆที่อาจเป็นตัวเลขข้อความรูปภาพเสียงคือ...ข้อมูล
7.ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลเป็น...ข้อมูลทุติยภูมิ
8.ส่วนสูงของเพื่อนที่ถามจากเพื่อนแต่ละคนเป็น ...ข้อมูลปฐมภูมิ
9.ผลของการลงทะเบียนเป็น ...ข้อมูลปฐมภูมิ
10.กราฟแสดงจำนวนนิสิตในห้องเรียนวิชาวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวันSectionวันอังคารเป็น...ข้อมูลทุติยภูมิ

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

บทความที่ 1 การแปรรูปมะละกอ

มะละกอ

ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Carica papaya  L.
ชื่อสามัญ :   Papaya, Pawpaw, Tree melon
วงศ์ :   Caricaceae
ชื่ออื่น :  มะก้วยเทศ (ภาคเหนือ) หมักหุ่ง (ลาว,นครราชสีมา,เลย) ลอกอ (ภาคใต้) กล้วยลา (ยะลา) แตงต้น (สตูล)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูง 3-6 เมตร เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลออกขาว ลำต้นตรง ไม่มีแก่น แตกกิ่งก้านน้อย มีรอยแผลใบชัดเจน มียางขาวข้น ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับรอบต้นหนาแน่นที่ปลายยอด ใบรูปฝ่ามือ ขนาด 80-120 ซม. ขอบใบเว้าเป็นแฉกลึกถึงแกนก้าน ก้านใบเป็นหลอด กลมกลวงยาว 25-100 ซม. ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อยาวห้อยลง ดอกสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ มีกลิ่นหอม ดอกเพศเมียสีขาว ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ดอกมีขนาดใหญ่ กว่าดอกเพศผู้ ผล รูปกระสวย ผิวเรียบ เปลือกบาง มียางสีขาว ผลสดสีเขียวเข้ม พอสุกเปลี่ยนเป็นสีส้ม รับประทานได้ มีเมล็ดมาก เมล็ดกลม สีดำ มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีขาวใส
ส่วนที่ใช้ 
ผลสุก ผลดิบ ยางจากผลหรือจากก้านใบ ราก
สรรพคุณ :
  • ผลสุก - เป็นยากัน หรือแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบาย
  • ยางจากผลดิบ - เป็นยาช่วยย่อย ฆ่าพยาธิ
  • ราก - ขับปัสสาวะ
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
  • เป็นยาระบาย
    ใช้ผลสุกไม่จำกัดจำนวน รับประทานเป็นผลไม้
  • เป็นยาช่วยย่อย
    ก. ใช้เนื้อมะละกอดิบไม่จำกัด ประกอบอาหาร
    ข. ยางจากผล หรือจากก้านใบ ใช้ 10-15 เกรน หรือถ้าเป็นตัวยาช่วยย่อยแท้ๆ ( Papain )
  • เป็นยากัน หรือแก้โรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟัน
    ใช้มะละกอสุกไม่จำกัด รับประทานเป็นผลไม้ ให้วิตามินซี
  • ราก เป็นยาขับปัสสาวะ
ข้อควรระวัง : 
          สำหรับผู้ที่รับประทานมะละกอสุกติดต่อกันเป็นจำนวนมาก เป็นเวลานาน อาจทำให้สารมีสีพวก carotenoid ไปสะสมในร่างกายมากเกินไป ทำให้ผิวมีสีเหลือง
สารเคมี :
  • ในผลมะละกอ ประกอบด้วย โปรตีน 0.5 % คาร์โบไฮเดรต 9.5 % แคลเซี่ยม 0.01 % ฟอสฟอรัส 0.01 % เหล็ก 0.4 มิลลิกรัม/100 กรัม และสารอื่นๆ อีกเล็กน้อย
  • ในส่วนของเนื้อมะละกอ จะมี sucrose, invert sugar papain, malic acid และเกลือของ Tartaric acid, citric acid และ pectin จำนวนมาก (มีทั้งในผลดิบด้วย) และ pigment พวก carotenoid และวิตามินต่างๆ
ยางมะละกอ มี enzyme ชื่อ papain ซึ่ง papain เป็นชื่อรวมสำหรับเรียกเอนไซม์จากน้ำยางมะละกอ ซึ่งประกอบด้วย papain 10% chymopapain 45% lysozyme 20%

การแปรรูปและถนอมอาหาร

                การถนอมอาหาร หมายถึง การเก็บรักษาอาหาร โดยกรรมวิธีต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพใกล้เคียงกับของสดมากที่สุด โดยไม่ให้สูญเสียคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการ ตลอดทั้งยังคงมีคุณลักษณะทางคุณภาพซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ดังนั้นการถนอมและการแปรรูปอาหารจึงเป็นวิธีเก็บรักษาอาหารไว้รับประทาน ได้ตลอดปีนอกจากฤดูการผลิต และเป็นการไม่ให้อาหารเสียหรือเน่าเสียไปเนื่องจากจุลินทรีย์ หรือสูญเสียคุณสมบัติทางเคมี
วิธีการแปรรูป/ถนอมอาหาร มีด้วยกัน 9 วิธีคือ
1. การทำแห้ง
2. การทำเค็ม
3.  การดอง
4.  การเชื่อม
5. การแช่อิ่ม
6.  การฉาบ
7.  การกวน
8.  การทำแยม/เยลลี่
9.  การทำน้ำผลไม้
แต่ละชนิดมีขั้นตอนวิธีการทำดังนี้

1.การทำแห้ง 

เป็นการทำให้น้ำระเหยออกไปจากอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยให้มีความชื้นเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย จนจุลินทรีย์ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ โดยการนำไปตากแดด หรืออบในตู้อบความร้อน ผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ทุกชนิดสามารถนำมาทำแห้งได้

การเลือกผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์
ผัก  ควรเป็นผักใบ หรือผักเนื้อแน่น สด มีความแก่หรืออ่อนเท่ากัน
-  ผักใบ เช่น ใบโหระพา ใบกะเพรา ใบมะกรูด ผักชี ต้นหอม ชะอม สะเดา ผักกาด ผักกวางตุ้ง
-  ผักเนื้อแน่นหรือผักหัว เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย หัวหอม กระเทียม หัวผักกาด
ผลไม้ ควรเป็นผลไม้ที่แก้หรือสุกเต็มที่ กลิ่นดี มีสีสม่ำเสมอ (ถ้าผลไม้มีสีเขียวปน จะทำให้สีของ ผลิตภัณฑ์ไม่สม่ำเสมอ ควรนำไปบ่มก่อนไม่ช้ำ ไม่มีตำหนิ ไม่เน่าเสียขนาดผลเท่ากัน เช่น กล้วย ลำไย องุ่น พุทรา เงาะ ฯลฯ
เนื้อสัตว์ ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่มีความสด
เนื้อวัว สีชมพูอมแดง
เนื้อหมู สีชมพู ไขมันสีขาว ไม่มีพยาธิในลักษณะเมล็ดสาคู
เนื้อไก่ สีไม่ซีด ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีรอยช้ำ
ปลา สด หนัง เกล็ดเป็นมันวาว ตาสดใส เหงือกสีแดงสด เนื้อแน่นแข็ง ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า

2.การทำเค็ม 

เป็นการถนอมอาหารโดยใช้เกลือเป็นวัตถุกันเสียในการเก็บรักษาอาหารให้คงทนอยู่ได้นาน โดยไม่บูดเสีย อาจใช้สารเคมีบางอย่างเข้ามาช่วยในการแต่งปรุงรสได้

หลักสำคัญในการทำเค็ม
1.  ทำอาหารให้สะอาด
2.  คลุกด้วยเกลือ หรือแช่น้ำเกลือ/น้ำปลา อาจใส่น้ำตาลเล็กน้อย เพื่อให้มีรสหวานก็ได้ ทิ้งให้เกลือซึมเข้าไปในอาหาร
3.  ซับให้แห้งไปบ้าง และเอาออกตากแดดให้แห้งสนิทแล้วเก็บในที่มิดชิด อากาศเข้าไม่ได้ อาหารที่ทำเค็มนี้จะเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน
การทำเค็มจากผัก/ผลไม้
หัวผักกาดเค็ม (ไชโป๊) ทำจากหัวผักกาดใช้เวลาประมาณ 20 วัน
กระหล่ำปลีเค็ม ใช้เวลาประมาณ 7 วัน
ตั้งฉ่าย ทำจากก้านใบผักกาดขาวปลี หรือ กะหล่ำปลี ใช้เวลาประมาณ 45 วัน
เกี๊ยมฉ่ายชนิดเค็ม ทำจากผักกาดเขียวปลี ใช้เวลาประมาณ 20 วัน
ซีเซ็กฉ่าย ทำจากมะละกอ แตงไทย ผักกาดหัว มะเขือยาว ใช้เวลาประมาณ 10วัน
เต้าเจี้ยว ทำจากถั่วเหลือง กับเชื้อรา ใช้เวลาประมาณ 2 ½ เดือน

3.การหมักดอง  

เป็นการถนอมอาหารโดยใช้ความเข้มข้นของเกลือ น้ำส้ม และน้ำตาลควบคุมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ โดยการจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมเพื่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์บางชนิดที่ผลิต กรดแลคติก และป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารบูดเน่าเจริญเติบโตในการถนอมอาหารชนิดนี้



ประเภทการหมักดอง มี 4 ประเภท
1. การหมักที่ทำให้เกิดแอลกอฮอล์ เช่น การทำไวน์ การทำเหล้า การทำเบียร์ กระแช่
2.การหมักที่ทำให้เกิดกรดอซิติก เช่น การทำน้ำส้มสายชู
3. การหมักที่ทำให้เกิดกรดแลคติก เช่น การทำนมเปรียว การดองผักต่าง ๆ แหนม
4.การหมักอื่น ๆ เช่น การทำปลาร้า ปลาเจ่า กะปิ น้ำปลา เต๊าเจี้ยว

4.การเชื่อม

เป็นการเพิ่มปริมาณน้ำตาลในอาหารให้สูงขึ้น โดยใช้ความร้อน ทำให้อาหารสุกและน้ำตาลซึมผ่านเข้าไปในเนื้ออาหาร อาหารจะไม่เหี่ยวย่น และเก็บไว้ได้นาน น้ำตาลจะเป็นสารถนอมอาหารที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์

วิธีการเชื่อม มี 2 วิธี
1.การเชื่อมเร็ว ใช้ผัก/ผลไม้ที่เนื้อนุ่ม มีปริมาณน้ำมาก ซึ่งมีวิธีการทำคือ
1.1 ความเข้มข้นของน้ำเชื่อม 10 – 20 % ใช้น้ำตาล ½ - 1 ถ้วยตวงกับน้ำ 4 ถ้วยตวง เคี่ยวเป็นน้ำเชื่อมอย่างอ่อน แล้วจึงใส่ผักหรือผลไม้ที่จะเชื่อมลงไปใช้เวลาประมาณ ½ ชั่วโมงโดยใช้ไฟอ่อน ถ้าใช้เวลาเคี่ยวน้อยเกินไปจะทำให้มีกลิ่นน้ำตาลทรายทำให้อาหารไม่อร่อยและเสียง่าย การเชื่อมลักษณะนี้เรียกว่า “ลอยแก้ว” นิยมใช้กับ ลูกตาล สับปะรด เงาะ ลิ้นจี่ แห้ว ลำไย กระท้อน มะม่วง ส้มโอ ส้มเขียวหวาน ฯลฯ อาหารเชื่อมวิธีนี้เก็บได้ไม่นานต้องรับประทานให้หมด ไม่ทิ้งค้างคืน ถ้าจะเก็บต้องแช่ในตู้เย็น
1.2 ความเข้มข้นของน้ำเชื่อม 30 – 40 % ใช้น้ำตาล 2 ถ้วยตวงกับน้ำ 4 ถ้วยตวง เคี่ยวเป็นน้ำเชื่อมกรอง แล้วตั้งไฟอีกครั้ง ใส่ผัก/ผลไม้ ลงเชื่อมเคี่ยวต่อไปประมาณ 1 ชั่วโมง ด้วยไฟอ่อน อาหารจะดูดซึมน้ำเชื่อมได้ดี เนื้ออาหารจะมีความมันเป็นเงา ไม่เหี่ยว น่ารับประทาน เมื่อทิ้งให้เย็น น้ำตาลจะไม่ตกผลึก สามารถเก็บได้นาน 1 สัปดาห์ โดยเทน้ำเชื่อมที่ร้อนจัดให้ท่วมเนื้ออาหาร เพื่อจะได้ไม่ขึ้นรา นิยมใช้กับฟักทอง เผือก มันเทศ กล้วย มันสำปะหลัง จาวตาล ฯลฯ
2.การเชื่อมแห้ง   ควรใช้ผัก/ผลไม้ที่มีเนื้อแน่น มีเส้นใยมาก เพราะต้องใช้เวลาเคี่ยวนาน เช่น ฟักเขียว สาเก มะตูม รากบัว เปลือกส้มโอ เปลือกมะนาว เปลือกแตงโม ความเข้มของน้ำเชื่อม 60 – 70 % ใช้น้ำตาล 4 – 6 ถ้วยตวง กับน้ำ 4 ถ้วยตวง ขั้นแรกเตรียมน้ำเชื่อมโดยใช้น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง กับน้ำ  4 ถ้วยตวง ตั้งไฟพอเดือด ใส่ ผัก/ผลไม้ ลงไปเคี่ยวพอสุกจึงค่อย ๆ เติมน้ำตาลทรายครั้งละ ½ ถ้วยตวง คนให้ละลาย เติมน้ำตาลทรายจนหมด ใช้ไฟอ่อนเคียวต่อไปจนน้ำเชื่อมข้นเป็นยางตูมอ่อน\จึงตักอาหารขึ้น หรือถ้าจะเก็บไว้บริโภคนานต้องเคี่ยวต่อไปอีกประมาณ 10 นาที แล้วตักอาหารขึ้นผึ่งบนตระแกรงจนแห้งสนิท จะมีผลึกน้ำตาลเคลือบอยู่ บรรจุในภาชนะที่แห้ง สะอาด ปิดสนิท จะเก็บได้นานประมาณ 1 เดือน

5.การแช่อิ่ม   

เป็นการถนอมอาหารโดยค่อย ๆ เพิ่มน้ำตาลเข้าไปในเนื้ออาหารจนกระทั่งอาหารนั้น อิ่มตัวด้วยน้ำตาล ทำให้สภาพของอาหารไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ผัก/ผลไม้แช่อิ่มจึงสามารถเก็บได้นาน

ผลไม้ที่นิยมนำมาแช่อิ่ม ได้แก่ ผลไม้ที่กำลังห่าม หรือแก่จัด เนื้อแน่น เช่น มะละกอ สับปะรด พุทรา มะยม ลูกตาล สาเก เงาะ จาวตาล มะม่วง มะดัน กระเจี๊ยบ ลำไย ลูกท้อ ฯลฯ ถ้าใช้ผลไม้สุกจะได้เนื้อผลไม้แช่อิ่มที่เละไม่น่ารับประทาน
ผักที่นิยมมาแช่อิ่ม ได้แก่ ผักที่มีเนื้อแน่น หรือกินได้ทั้งเปลือก เช่น ขิง ฟักเขียว น้ำเต้า ฟักทอง มะนาว มะเขือเทศ มะเขือไข่เต่า พริก มะระขี้นก ฯลฯ

6.การฉาบ   

เป็นการทำให้อาหารสุกก่อนแล้วนำมาคลุกเคล้ากับน้ำเชื่อมที่อิ่มตัว น้ำตาลจะเกาะติดเป็นเกล็ดขาว ๆ

หลักการฉาบ
1. สิ่งที่จะนำมาฉาบต้องเป็นของที่สุกแล้ว
2. น้ำเชื่อมที่จะฉาบต้องเคี่ยวให้แก่จัดมองเห็นเป็นเกล็ดน้ำตาลเวลาแห้งจะกลายเป็นน้ำตาล
3. เพื่อไม่ให้น้ำตาลที่เกาะกับของฉาบขึ้นเกล็ดเร็ว ควรจะใส่น้ำมันหมูหรือน้ำมันพืช ผสมลงไปในน้ำเชื่อมเล็กน้อย นอกจากนี้จะช่วยให้ผิวของที่ฉาบ เป็นมันน่ารับประทานขึ้น
ผลไม้ที่นิยมฉาบ  ได้แก่ กล้วยทุกชนิด เมล็ดเงาะ เมล็ดมะม่วงหิมะพานต์ เผือก มันต่าง ๆ

7.การกวน  

เป็นวิธีการถนอมอาหารโดยการนำเอาผัก ผลไม้ หรือธัญพืชมาผสมกับน้ำตาล ใช้ความร้อนเคี่ยวกวนจนปริมาณน้ำลดน้อยลงและผสมเป็นเนื้อเดียวกัน อาหารชนิดนี้เก็บได้นาน เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูง ประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ (โดยน้ำหนักสามารยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้

ผัก/ผลไม้ที่นิยมนำมากวน ได้แก่ สับปะรด ทุเรียน พุทรา กระท้อน มะปราง มะม่วงดิบ มะละกอ ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ขิง มะยม มะเฟือง มะดัน กล้วย ฟักทอง มันเทศ และถั่วต่าง ๆ
การกวนมี 3 ประเภท
1การกวนโดยใช้น้ำตาลกับน้ำ ใช้กับ พุทรา มะขาม กระท้อน มะปราง มะม่วงดิบ มะละกอ ข้าวเหนียว ข้างฟ่าง
2.การกวนโดยใช้น้ำตาลกับกะทิ ใช้กับ กล้วย ฟักทอง เผือก มันเทศ ถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว
3. การกวนโดยใช้น้ำตาลอย่างเดียว ใช้กับสับปะรด มะม่วงสุก มะละกอสุก มะดัน มะเฟือง ทุเรียน มังคุด มะยม

8.การทำแยม/เยลลี่



แยม หมายถึง อาหารหวานที่ทำจากเนื้อผลไม้หรือน้ำตาล แต่มีลักษณะเหนียวกว่าการกวนใช้ทาขนมปังได้
เยลลี่ หมายถึง ส่วนประกอบของน้ำผลไม้กับน้ำตาล มีลักษณะใสอ่อนนุ่ม คล้ายวุ้น แต่ไม่เหนียวหนืดไม่เหลว และคงรูปเดิมเมื่อถอดออกจากพิมพ์ เมื่อตัดด้วยมีดจะเป็นเหลี่ยมตามรอยมีด ในขณะเดียวกันยังคงมีความหยุ่นตัวแม้แตะเพียงเบา ๆ ก็ไหว นอกจากนั้นยังมีกลิ่นรสซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผลไม้นั้นเหลืออยู่
หลักการทำแยม
1.  ใช้เนื้อของผลไม้ อาจจะต้มให้เปื่อย หรือนำไปบดให้เป็นเนื้อเดียวกัน
2.   ควรใช้ไฟอ่อน เมื่อคนจนน้ำตาลในส่วนผสมละลายแล้ว ควรเพิ่มไฟให้แรงขึ้นเพื่อให้ได้แยมสีใสเป็นประกาย
หลักการทำเยลลี่
1.  ทดสอบเพคตินที่มีในน้ำผลไม้ โดยใช้น้ำผลไม้ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับแอลกอฮอล์ 95 %ประมาณ 1 – 3 ช้อนโต๊ะ เขย่าให้เข้ากัน ถ้าเกิดตะกอนในลักษณะที่จับตัวกันคล้ายวุ้น แสดงว่ามีเพคติน
2.  ถ้าปริมาณเพคตินในน้ำผลไม้มีมาก การเติมกรดและน้ำตาลในการทำเยลลี่ต้องมากขึ้นด้วย
3.  ถ้าปริมาณเพคตินในน้ำผลไม้มีน้อย อาจเติมเพคตินผงลงในน้ำผลไม้ที่จะทำเยลลี่ เพราะเพคตินจะช่วยในการทรงตัวของเยลลี่ได้ดี
4. ลักษณะเยลลี่ที่ดีต้องดูใส โปร่งแสง มีความยืดหยุ่น ทรงตัวไม่มีฟองอากาศ
5. ในการทำเยลลี่ให้ได้ผลดี ต้องมีการควบคุมน้ำตาล กรดและระยะเวลาในการหุงต้ม เพื่อที่จะทำให้เพคตินในน้ำตาลจับตัวกันเป็นร่างแห เมื่ออุ้มน้ำผลไม้เอาไว้ให้เกาะตัวกันมีลักษณะเป็นวุ้นที่หยุ่นตัวได้
6. ควรใช้ผลไม้ห่ามดีที่สุด เพราะจะทำให้รสชาติดีขึ้นเนื้อเยลลี่จะใสและปริมาณเพคตินก็มากพอที่จะจับตัวเป็นวุ้น

9.การทำน้ำผลไม้

น้ำผลไม้ เป็นของเหลวที่สกัดออกจากผลไม้ ประกอบด้วยวิตามินซี และเกลือแร่อันมีความสำคัญยิ่งต่อร่างกายของมนุษย์ ทั้งในยามปกติและในยามเจ็บไข้ วิตามินที่สำคัญในน้ำผลไม้ คือ วิตามินซี และคาโรทีน ซึ่งเป็นสารกำเนิดของวิตามินเอ
ขั้นตอนต่าง ๆ ในการปฏิบัติที่ถูกต้องของการทำน้ำผลไม้
1. เลือกผลไม้ที่สุกพอดี ไม่ช้ำ ไม่มีรา หรือไม่มีรอยแมลงกัดกิน
2. ล้างผลไม้ให้สะอาด
3. การคั้นน้ำหรือสกัดน้ำ
3.1 ผลไม้ที่คั้นสด ๆ นำมาตัดหรือย่อยเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือตีด้วยเครื่องตีเนื้อผลไม้ ในกรณี มะนาว หรือส้ม ผ่าครึ่งบีบด้วยเครื่องบีบ กรองเอากากออก
3.2 ผลไม้ที่ต้องต้มก่อนจึงจะสกัดน้ำได้ เช่น พุทรา มะขาม นำมาต้มกับน้ำ กรองเอากากออก
4.  การผสม น้ำผลไม้บางชนิด เมื่อถูกความร้อนจะทำให้คุณภาพเสีย ดังนั้นควรใช้น้ำเชื่อมแล้วผสมเติม
กรดซิตริก หรือกรดมะนาวช่วย ในการทำให้รสเปรี้ยวตามความต้องการ บางคนอาจชอบใส่เกลือด้วยในชั้นนี้ เราอาจผสมน้ำผลไม้ตามตำรับที่เราชอบโดยดัดแปลงส่วนผสมต่าง ๆ
หมายเหตุ วิธีทำน้ำเชื่อม ใช้น้ำตาลทราย 2 กิโลกรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร ต้มให้เดือด กรอง
5.  การเก็บ ถ้าเก็บไว้รับประทานหลายวัน ควรต้มให้เดือดก่อนบรรจุขวดที่สะอาด ปิดจุก เก็บในที่เย็นถ้าจะเก็บไว้ในอุณหภูมิธรรมดา ควรเติมโซเดียมเบนโซเอท 0.5 กรัม หรือประมาณ ¼ ช้อนชา ต่อน้ำผลไม้หวานเข้มข้น 1 ลิตร ก่อนบรรจุขวด
6.การทำเป็นเครื่องดื่ม เมื่อต้องการดื่มนำผสมน้ำและเติมน้ำแข็งให้ได้รสตามความพอใจ

การทำข้าวเกรียบ

เป็นการแปรรูปอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายน้อยและยังเป็นการถนอมอาหารอีกวิธีหนึ่งด้วย

ข้าวเกรียบมะละกอ

ส่วนผสมข้าวเกรียบมะละกอ
  1. มะละกอสุกบด 200 กรัม
  2. แป้งมันสำปะหลัง 250 กรัม
  3. เกลือป่น 2 ช้อนชา
  4. กระเทียมโขลกละเอียด 2 ช้อนชา
  5. พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
  6. น้ำตาลทรราย 1 ช้อนโต๊ะ
  7. น้ำเดือด

วิธีทำข้าวเกรียบฟักทอง

  1. นึ่งฟักทองให้สุก ยีฟักทองให้ละเอียดเนื้อเนียน
  2. ผสมแป้งมันสำปะหลัง ฟักทองบด กระเทียม พริกไทย เกลือ น้ำตาลทรายเข้าด้วยกัน นวด ส่วนผสมให้เข้ากัน ค่อยๆเติมน้ำเดือดนวดไปเรื่อยๆ จนเข้ากันและปั้นได้
  3. นำส่วนผสมที่เข้ากันมาปั้นเป็นแท่งยาว เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว
  4. เรียงแท่งข้าวเกรียบลงในรังถึง ที่ทาน้ำมันพืชไว้ อย่าวางชิดกันมากเพื่อให้ไอน้ำขึ้นมาได้ นึ่งในน้ำเดือดไฟแกรง 40 นาที ทิ้งไว้ให้เย็นเก็บใส่ถุึงพลาสติก พักไว้ 1 คืน
  5. หั่นเป็นแว่นบางๆ ตากแดดจนแห้งสนิท เก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิด


* หมายเหตุ :

  • ต้องพักแท่งข้าวเกรียบไว้หนึ่งคืนก่อนหั่น มิฉะนั้นจะเหนียวเหนอะหนะ หั่นยาก
  • เวลาจะรับประทาน ทอดในน้ำมันร้อน ไฟอ่อน โดยใช้น้ำมันมากในการทอด พอข้าว เกรียบพองกรอบ สีนวล ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
  • น้ำมันที่เหมาะกับอาหารทอดคือน้ำมันปาล์ม





อ้างอิง
http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_15_4.htm  (สรรพคุณของมะละกอ)
http://www.kmlanna.com/index.php?name=blog&file=readblog&id=26 (การถนอมอาหาร)