มะละกอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Carica
papaya L.
ชื่อสามัญ : Papaya,
Pawpaw, Tree melon
วงศ์ : Caricaceae
ชื่ออื่น : มะก้วยเทศ (ภาคเหนือ) หมักหุ่ง (ลาว,นครราชสีมา,เลย) ลอกอ (ภาคใต้) กล้วยลา (ยะลา) แตงต้น (สตูล)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก
อายุหลายปี สูง 3-6 เมตร เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลออกขาว ลำต้นตรง ไม่มีแก่น
แตกกิ่งก้านน้อย มีรอยแผลใบชัดเจน มียางขาวข้น ใบ เป็นใบเดี่ยว
ออกเรียงสลับรอบต้นหนาแน่นที่ปลายยอด ใบรูปฝ่ามือ ขนาด 80-120 ซม.
ขอบใบเว้าเป็นแฉกลึกถึงแกนก้าน ก้านใบเป็นหลอด กลมกลวงยาว 25-100 ซม. ดอก
ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อยาวห้อยลง ดอกสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ
มีกลิ่นหอม ดอกเพศเมียสีขาว ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ดอกมีขนาดใหญ่ กว่าดอกเพศผู้
ผล รูปกระสวย ผิวเรียบ เปลือกบาง มียางสีขาว ผลสดสีเขียวเข้ม
พอสุกเปลี่ยนเป็นสีส้ม รับประทานได้ มีเมล็ดมาก เมล็ดกลม สีดำ
มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีขาวใส
ส่วนที่ใช้ : ผลสุก ผลดิบ ยางจากผลหรือจากก้านใบ ราก
สรรพคุณ :
- ผลสุก - เป็นยากัน
หรือแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบาย
- ยางจากผลดิบ - เป็นยาช่วยย่อย ฆ่าพยาธิ
- ราก - ขับปัสสาวะ
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
- เป็นยาระบาย
ใช้ผลสุกไม่จำกัดจำนวน
รับประทานเป็นผลไม้
- เป็นยาช่วยย่อย
ก. ใช้เนื้อมะละกอดิบไม่จำกัด
ประกอบอาหาร
ข. ยางจากผล หรือจากก้านใบ ใช้ 10-15 เกรน
หรือถ้าเป็นตัวยาช่วยย่อยแท้ๆ ( Papain )
- เป็นยากัน
หรือแก้โรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟัน
ใช้มะละกอสุกไม่จำกัด
รับประทานเป็นผลไม้ ให้วิตามินซี
- ราก เป็นยาขับปัสสาวะ
ข้อควรระวัง :
สำหรับผู้ที่รับประทานมะละกอสุกติดต่อกันเป็นจำนวนมาก
เป็นเวลานาน อาจทำให้สารมีสีพวก carotenoid ไปสะสมในร่างกายมากเกินไป
ทำให้ผิวมีสีเหลือง
สารเคมี :
- ในผลมะละกอ ประกอบด้วย
โปรตีน 0.5 % คาร์โบไฮเดรต 9.5 % แคลเซี่ยม
0.01 % ฟอสฟอรัส 0.01 % เหล็ก 0.4
มิลลิกรัม/100 กรัม และสารอื่นๆ
อีกเล็กน้อย
- ในส่วนของเนื้อมะละกอ จะมี sucrose,
invert sugar papain, malic acid และเกลือของ Tartaric
acid, citric acid และ pectin จำนวนมาก
(มีทั้งในผลดิบด้วย) และ pigment พวก carotenoid
และวิตามินต่างๆ
ยางมะละกอ มี enzyme ชื่อ papain
ซึ่ง papain เป็นชื่อรวมสำหรับเรียกเอนไซม์จากน้ำยางมะละกอ
ซึ่งประกอบด้วย papain 10% chymopapain 45% lysozyme 20%
การแปรรูปและถนอมอาหาร
การถนอมอาหาร หมายถึง การเก็บรักษาอาหาร โดยกรรมวิธีต่าง ๆ
ให้อยู่ในสภาพใกล้เคียงกับของสดมากที่สุด
โดยไม่ให้สูญเสียคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการ
ตลอดทั้งยังคงมีคุณลักษณะทางคุณภาพซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค
ดังนั้นการถนอมและการแปรรูปอาหารจึงเป็นวิธีเก็บรักษาอาหารไว้รับประทาน
ได้ตลอดปีนอกจากฤดูการผลิต
และเป็นการไม่ให้อาหารเสียหรือเน่าเสียไปเนื่องจากจุลินทรีย์
หรือสูญเสียคุณสมบัติทางเคมี
วิธีการแปรรูป/ถนอมอาหาร มีด้วยกัน 9 วิธีคือ
1. การทำแห้ง
2. การทำเค็ม
3. การดอง
4. การเชื่อม
5. การแช่อิ่ม
6. การฉาบ
7. การกวน
8. การทำแยม/เยลลี่
9. การทำน้ำผลไม้
แต่ละชนิดมีขั้นตอนวิธีการทำดังนี้
1.การทำแห้ง
เป็นการทำให้น้ำระเหยออกไปจากอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
โดยให้มีความชื้นเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย จนจุลินทรีย์ไม่สามารถเจริญเติบโตได้
โดยการนำไปตากแดด หรืออบในตู้อบความร้อน ผัก ผลไม้
และเนื้อสัตว์ทุกชนิดสามารถนำมาทำแห้งได้
การเลือกผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์
ผัก ควรเป็นผักใบ
หรือผักเนื้อแน่น สด มีความแก่หรืออ่อนเท่ากัน
- ผักใบ เช่น
ใบโหระพา ใบกะเพรา ใบมะกรูด ผักชี ต้นหอม ชะอม สะเดา ผักกาด ผักกวางตุ้ง
- ผักเนื้อแน่นหรือผักหัว
เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย หัวหอม กระเทียม หัวผักกาด
ผลไม้ ควรเป็นผลไม้ที่แก้หรือสุกเต็มที่
กลิ่นดี มีสีสม่ำเสมอ (ถ้าผลไม้มีสีเขียวปน จะทำให้สีของ
ผลิตภัณฑ์ไม่สม่ำเสมอ ควรนำไปบ่มก่อน) ไม่ช้ำ
ไม่มีตำหนิ ไม่เน่าเสียขนาดผลเท่ากัน เช่น กล้วย ลำไย องุ่น พุทรา เงาะ ฯลฯ
เนื้อสัตว์ ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่มีความสด
- เนื้อวัว
สีชมพูอมแดง
- เนื้อหมู สีชมพู
ไขมันสีขาว ไม่มีพยาธิในลักษณะเมล็ดสาคู
- เนื้อไก่
สีไม่ซีด ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีรอยช้ำ
- ปลา สด หนัง
เกล็ดเป็นมันวาว ตาสดใส เหงือกสีแดงสด เนื้อแน่นแข็ง ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า
2.การทำเค็ม
เป็นการถนอมอาหารโดยใช้เกลือเป็นวัตถุกันเสียในการเก็บรักษาอาหารให้คงทนอยู่ได้นาน
โดยไม่บูดเสีย อาจใช้สารเคมีบางอย่างเข้ามาช่วยในการแต่งปรุงรสได้
หลักสำคัญในการทำเค็ม
1. ทำอาหารให้สะอาด
2. คลุกด้วยเกลือ หรือแช่น้ำเกลือ/น้ำปลา
อาจใส่น้ำตาลเล็กน้อย เพื่อให้มีรสหวานก็ได้ ทิ้งให้เกลือซึมเข้าไปในอาหาร
3. ซับให้แห้งไปบ้าง และเอาออกตากแดดให้แห้งสนิทแล้วเก็บในที่มิดชิด
อากาศเข้าไม่ได้ อาหารที่ทำเค็มนี้จะเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน
การทำเค็มจากผัก/ผลไม้
- หัวผักกาดเค็ม (ไชโป๊) ทำจากหัวผักกาดใช้เวลาประมาณ 20 วัน
- กระหล่ำปลีเค็ม
ใช้เวลาประมาณ 7 วัน
- ตั้งฉ่าย
ทำจากก้านใบผักกาดขาวปลี หรือ กะหล่ำปลี ใช้เวลาประมาณ 45 วัน
- เกี๊ยมฉ่ายชนิดเค็ม
ทำจากผักกาดเขียวปลี ใช้เวลาประมาณ 20 วัน
- ซีเซ็กฉ่าย
ทำจากมะละกอ แตงไทย ผักกาดหัว มะเขือยาว ใช้เวลาประมาณ 10วัน
- เต้าเจี้ยว
ทำจากถั่วเหลือง กับเชื้อรา ใช้เวลาประมาณ 2 ½ เดือน
3.การหมักดอง
เป็นการถนอมอาหารโดยใช้ความเข้มข้นของเกลือ
น้ำส้ม และน้ำตาลควบคุมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์
โดยการจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมเพื่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์บางชนิดที่ผลิต กรดแลคติก
และป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารบูดเน่าเจริญเติบโตในการถนอมอาหารชนิดนี้
ประเภทการหมักดอง มี 4 ประเภท
1. การหมักที่ทำให้เกิดแอลกอฮอล์
เช่น การทำไวน์ การทำเหล้า การทำเบียร์ กระแช่
2.การหมักที่ทำให้เกิดกรดอซิติก
เช่น การทำน้ำส้มสายชู
3. การหมักที่ทำให้เกิดกรดแลคติก
เช่น การทำนมเปรียว การดองผักต่าง ๆ แหนม
4.การหมักอื่น ๆ เช่น
การทำปลาร้า ปลาเจ่า กะปิ น้ำปลา เต๊าเจี้ยว
4.การเชื่อม
เป็นการเพิ่มปริมาณน้ำตาลในอาหารให้สูงขึ้น
โดยใช้ความร้อน ทำให้อาหารสุกและน้ำตาลซึมผ่านเข้าไปในเนื้ออาหาร
อาหารจะไม่เหี่ยวย่น และเก็บไว้ได้นาน
น้ำตาลจะเป็นสารถนอมอาหารที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์
วิธีการเชื่อม มี 2 วิธี
1.การเชื่อมเร็ว ใช้ผัก/ผลไม้ที่เนื้อนุ่ม มีปริมาณน้ำมาก ซึ่งมีวิธีการทำคือ
1.1 ความเข้มข้นของน้ำเชื่อม 10
– 20 % ใช้น้ำตาล ½ - 1 ถ้วยตวงกับน้ำ 4 ถ้วยตวง เคี่ยวเป็นน้ำเชื่อมอย่างอ่อน
แล้วจึงใส่ผักหรือผลไม้ที่จะเชื่อมลงไปใช้เวลาประมาณ ½ ชั่วโมงโดยใช้ไฟอ่อน
ถ้าใช้เวลาเคี่ยวน้อยเกินไปจะทำให้มีกลิ่นน้ำตาลทรายทำให้อาหารไม่อร่อยและเสียง่าย
การเชื่อมลักษณะนี้เรียกว่า “ลอยแก้ว” นิยมใช้กับ ลูกตาล สับปะรด เงาะ ลิ้นจี่ แห้ว ลำไย กระท้อน มะม่วง ส้มโอ
ส้มเขียวหวาน ฯลฯ อาหารเชื่อมวิธีนี้เก็บได้ไม่นานต้องรับประทานให้หมด
ไม่ทิ้งค้างคืน ถ้าจะเก็บต้องแช่ในตู้เย็น
1.2 ความเข้มข้นของน้ำเชื่อม 30
– 40 % ใช้น้ำตาล 2 ถ้วยตวงกับน้ำ 4 ถ้วยตวง เคี่ยวเป็นน้ำเชื่อมกรอง แล้วตั้งไฟอีกครั้ง ใส่ผัก/ผลไม้ ลงเชื่อมเคี่ยวต่อไปประมาณ 1 ชั่วโมง
ด้วยไฟอ่อน อาหารจะดูดซึมน้ำเชื่อมได้ดี เนื้ออาหารจะมีความมันเป็นเงา ไม่เหี่ยว
น่ารับประทาน เมื่อทิ้งให้เย็น น้ำตาลจะไม่ตกผลึก สามารถเก็บได้นาน 1 สัปดาห์ โดยเทน้ำเชื่อมที่ร้อนจัดให้ท่วมเนื้ออาหาร เพื่อจะได้ไม่ขึ้นรา
นิยมใช้กับฟักทอง เผือก มันเทศ กล้วย มันสำปะหลัง
จาวตาล ฯลฯ
2.การเชื่อมแห้ง ควรใช้ผัก/ผลไม้ที่มีเนื้อแน่น มีเส้นใยมาก เพราะต้องใช้เวลาเคี่ยวนาน เช่น ฟักเขียว
สาเก มะตูม รากบัว เปลือกส้มโอ เปลือกมะนาว เปลือกแตงโม ความเข้มของน้ำเชื่อม 60
– 70 % ใช้น้ำตาล 4 – 6 ถ้วยตวง
กับน้ำ 4 ถ้วยตวง
ขั้นแรกเตรียมน้ำเชื่อมโดยใช้น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
กับน้ำ 4 ถ้วยตวง ตั้งไฟพอเดือด ใส่ ผัก/ผลไม้ ลงไปเคี่ยวพอสุกจึงค่อย ๆ เติมน้ำตาลทรายครั้งละ ½ ถ้วยตวง คนให้ละลาย เติมน้ำตาลทรายจนหมด
ใช้ไฟอ่อนเคียวต่อไปจนน้ำเชื่อมข้นเป็นยางตูมอ่อน\จึงตักอาหารขึ้น
หรือถ้าจะเก็บไว้บริโภคนานต้องเคี่ยวต่อไปอีกประมาณ 10 นาที แล้วตักอาหารขึ้นผึ่งบนตระแกรงจนแห้งสนิท จะมีผลึกน้ำตาลเคลือบอยู่
บรรจุในภาชนะที่แห้ง สะอาด ปิดสนิท จะเก็บได้นานประมาณ 1 เดือน
5.การแช่อิ่ม
เป็นการถนอมอาหารโดยค่อย
ๆ เพิ่มน้ำตาลเข้าไปในเนื้ออาหารจนกระทั่งอาหารนั้น อิ่มตัวด้วยน้ำตาล
ทำให้สภาพของอาหารไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ผัก/ผลไม้แช่อิ่มจึงสามารถเก็บได้นาน
ผลไม้ที่นิยมนำมาแช่อิ่ม ได้แก่ ผลไม้ที่กำลังห่าม หรือแก่จัด เนื้อแน่น เช่น มะละกอ สับปะรด พุทรา
มะยม ลูกตาล สาเก เงาะ จาวตาล มะม่วง มะดัน กระเจี๊ยบ ลำไย ลูกท้อ ฯลฯ
ถ้าใช้ผลไม้สุกจะได้เนื้อผลไม้แช่อิ่มที่เละไม่น่ารับประทาน
ผักที่นิยมมาแช่อิ่ม ได้แก่ ผักที่มีเนื้อแน่น หรือกินได้ทั้งเปลือก เช่น ขิง ฟักเขียว น้ำเต้า
ฟักทอง มะนาว มะเขือเทศ มะเขือไข่เต่า พริก มะระขี้นก ฯลฯ
6.การฉาบ
เป็นการทำให้อาหารสุกก่อนแล้วนำมาคลุกเคล้ากับน้ำเชื่อมที่อิ่มตัว
น้ำตาลจะเกาะติดเป็นเกล็ดขาว ๆ
หลักการฉาบ
1. สิ่งที่จะนำมาฉาบต้องเป็นของที่สุกแล้ว
2. น้ำเชื่อมที่จะฉาบต้องเคี่ยวให้แก่จัดมองเห็นเป็นเกล็ดน้ำตาลเวลาแห้งจะกลายเป็นน้ำตาล
3. เพื่อไม่ให้น้ำตาลที่เกาะกับของฉาบขึ้นเกล็ดเร็ว
ควรจะใส่น้ำมันหมูหรือน้ำมันพืช ผสมลงไปในน้ำเชื่อมเล็กน้อย
นอกจากนี้จะช่วยให้ผิวของที่ฉาบ เป็นมันน่ารับประทานขึ้น
ผลไม้ที่นิยมฉาบ ได้แก่
กล้วยทุกชนิด เมล็ดเงาะ เมล็ดมะม่วงหิมะพานต์ เผือก มันต่าง ๆ
7.การกวน
เป็นวิธีการถนอมอาหารโดยการนำเอาผัก ผลไม้ หรือธัญพืชมาผสมกับน้ำตาล ใช้ความร้อนเคี่ยวกวนจนปริมาณน้ำลดน้อยลงและผสมเป็นเนื้อเดียวกัน
อาหารชนิดนี้เก็บได้นาน เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูง ประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ (โดยน้ำหนัก) สามารยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้
ผัก/ผลไม้ที่นิยมนำมากวน ได้แก่ สับปะรด ทุเรียน พุทรา กระท้อน มะปราง มะม่วงดิบ มะละกอ ข้าวเหนียว
ข้าวฟ่าง ขิง มะยม มะเฟือง มะดัน กล้วย ฟักทอง มันเทศ และถั่วต่าง ๆ
การกวนมี 3 ประเภท
1การกวนโดยใช้น้ำตาลกับน้ำ ใช้กับ พุทรา มะขาม กระท้อน มะปราง มะม่วงดิบ
มะละกอ ข้าวเหนียว ข้างฟ่าง
2.การกวนโดยใช้น้ำตาลกับกะทิ ใช้กับ กล้วย ฟักทอง เผือก มันเทศ ถั่วต่าง ๆ
เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว
3. การกวนโดยใช้น้ำตาลอย่างเดียว ใช้กับสับปะรด มะม่วงสุก มะละกอสุก มะดัน
มะเฟือง ทุเรียน มังคุด มะยม
8.การทำแยม/เยลลี่
แยม หมายถึง
อาหารหวานที่ทำจากเนื้อผลไม้หรือน้ำตาล แต่มีลักษณะเหนียวกว่าการกวนใช้ทาขนมปังได้
เยลลี่ หมายถึง
ส่วนประกอบของน้ำผลไม้กับน้ำตาล มีลักษณะใสอ่อนนุ่ม คล้ายวุ้น แต่ไม่เหนียวหนืดไม่เหลว
และคงรูปเดิมเมื่อถอดออกจากพิมพ์ เมื่อตัดด้วยมีดจะเป็นเหลี่ยมตามรอยมีด
ในขณะเดียวกันยังคงมีความหยุ่นตัวแม้แตะเพียงเบา ๆ ก็ไหว นอกจากนั้นยังมีกลิ่นรสซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผลไม้นั้นเหลืออยู่
หลักการทำแยม
1. ใช้เนื้อของผลไม้ อาจจะต้มให้เปื่อย หรือนำไปบดให้เป็นเนื้อเดียวกัน
2. ควรใช้ไฟอ่อน เมื่อคนจนน้ำตาลในส่วนผสมละลายแล้ว
ควรเพิ่มไฟให้แรงขึ้นเพื่อให้ได้แยมสีใสเป็นประกาย
หลักการทำเยลลี่
1. ทดสอบเพคตินที่มีในน้ำผลไม้ โดยใช้น้ำผลไม้ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับแอลกอฮอล์ 95 %ประมาณ 1
– 3 ช้อนโต๊ะ เขย่าให้เข้ากัน
ถ้าเกิดตะกอนในลักษณะที่จับตัวกันคล้ายวุ้น แสดงว่ามีเพคติน
2. ถ้าปริมาณเพคตินในน้ำผลไม้มีมาก การเติมกรดและน้ำตาลในการทำเยลลี่ต้องมากขึ้นด้วย
3. ถ้าปริมาณเพคตินในน้ำผลไม้มีน้อย
อาจเติมเพคตินผงลงในน้ำผลไม้ที่จะทำเยลลี่
เพราะเพคตินจะช่วยในการทรงตัวของเยลลี่ได้ดี
4. ลักษณะเยลลี่ที่ดีต้องดูใส โปร่งแสง มีความยืดหยุ่น ทรงตัวไม่มีฟองอากาศ
5. ในการทำเยลลี่ให้ได้ผลดี ต้องมีการควบคุมน้ำตาล กรดและระยะเวลาในการหุงต้ม
เพื่อที่จะทำให้เพคตินในน้ำตาลจับตัวกันเป็นร่างแห
เมื่ออุ้มน้ำผลไม้เอาไว้ให้เกาะตัวกันมีลักษณะเป็นวุ้นที่หยุ่นตัวได้
6. ควรใช้ผลไม้ห่ามดีที่สุด เพราะจะทำให้รสชาติดีขึ้นเนื้อเยลลี่จะใสและปริมาณเพคตินก็มากพอที่จะจับตัวเป็นวุ้น
9.การทำน้ำผลไม้
น้ำผลไม้
เป็นของเหลวที่สกัดออกจากผลไม้ ประกอบด้วยวิตามินซี
และเกลือแร่อันมีความสำคัญยิ่งต่อร่างกายของมนุษย์ ทั้งในยามปกติและในยามเจ็บไข้
วิตามินที่สำคัญในน้ำผลไม้ คือ วิตามินซี และคาโรทีน
ซึ่งเป็นสารกำเนิดของวิตามินเอ
ขั้นตอนต่าง ๆ
ในการปฏิบัติที่ถูกต้องของการทำน้ำผลไม้
1. เลือกผลไม้ที่สุกพอดี ไม่ช้ำ ไม่มีรา หรือไม่มีรอยแมลงกัดกิน
2. ล้างผลไม้ให้สะอาด
3. การคั้นน้ำหรือสกัดน้ำ
3.1 ผลไม้ที่คั้นสด
ๆ นำมาตัดหรือย่อยเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือตีด้วยเครื่องตีเนื้อผลไม้ ในกรณี มะนาว
หรือส้ม ผ่าครึ่งบีบด้วยเครื่องบีบ กรองเอากากออก
3.2 ผลไม้ที่ต้องต้มก่อนจึงจะสกัดน้ำได้
เช่น พุทรา มะขาม นำมาต้มกับน้ำ กรองเอากากออก
4. การผสม น้ำผลไม้บางชนิด เมื่อถูกความร้อนจะทำให้คุณภาพเสีย ดังนั้นควรใช้น้ำเชื่อมแล้วผสมเติม
กรดซิตริก
หรือกรดมะนาวช่วย ในการทำให้รสเปรี้ยวตามความต้องการ บางคนอาจชอบใส่เกลือด้วยในชั้นนี้
เราอาจผสมน้ำผลไม้ตามตำรับที่เราชอบโดยดัดแปลงส่วนผสมต่าง ๆ
หมายเหตุ วิธีทำน้ำเชื่อม
ใช้น้ำตาลทราย 2 กิโลกรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร ต้มให้เดือด
กรอง
5. การเก็บ ถ้าเก็บไว้รับประทานหลายวัน ควรต้มให้เดือดก่อนบรรจุขวดที่สะอาด
ปิดจุก เก็บในที่เย็นถ้าจะเก็บไว้ในอุณหภูมิธรรมดา ควรเติมโซเดียมเบนโซเอท 0.5 กรัม หรือประมาณ ¼ ช้อนชา ต่อน้ำผลไม้หวานเข้มข้น 1 ลิตร ก่อนบรรจุขวด
6.การทำเป็นเครื่องดื่ม
เมื่อต้องการดื่มนำผสมน้ำและเติมน้ำแข็งให้ได้รสตามความพอใจ
การทำข้าวเกรียบ
เป็นการแปรรูปอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายน้อยและยังเป็นการถนอมอาหารอีกวิธีหนึ่งด้วย
ข้าวเกรียบมะละกอ
ส่วนผสมข้าวเกรียบมะละกอส่วนที่ใช้ : ผลสุก ผลดิบ ยางจากผลหรือจากก้านใบ ราก
ใช้ผลสุกไม่จำกัดจำนวน รับประทานเป็นผลไม้
ก. ใช้เนื้อมะละกอดิบไม่จำกัด ประกอบอาหาร
ข. ยางจากผล หรือจากก้านใบ ใช้ 10-15 เกรน หรือถ้าเป็นตัวยาช่วยย่อยแท้ๆ ( Papain )
ใช้มะละกอสุกไม่จำกัด รับประทานเป็นผลไม้ ให้วิตามินซี
สำหรับผู้ที่รับประทานมะละกอสุกติดต่อกันเป็นจำนวนมาก เป็นเวลานาน อาจทำให้สารมีสีพวก carotenoid ไปสะสมในร่างกายมากเกินไป ทำให้ผิวมีสีเหลือง
การแปรรูปและถนอมอาหาร
การถนอมอาหาร หมายถึง การเก็บรักษาอาหาร โดยกรรมวิธีต่าง ๆ
ให้อยู่ในสภาพใกล้เคียงกับของสดมากที่สุด
โดยไม่ให้สูญเสียคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการ
ตลอดทั้งยังคงมีคุณลักษณะทางคุณภาพซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค
ดังนั้นการถนอมและการแปรรูปอาหารจึงเป็นวิธีเก็บรักษาอาหารไว้รับประทาน
ได้ตลอดปีนอกจากฤดูการผลิต
และเป็นการไม่ให้อาหารเสียหรือเน่าเสียไปเนื่องจากจุลินทรีย์
หรือสูญเสียคุณสมบัติทางเคมี
วิธีการแปรรูป/ถนอมอาหาร มีด้วยกัน 9 วิธีคือ
1. การทำแห้ง
2. การทำเค็ม
3. การดอง
4. การเชื่อม
5. การแช่อิ่ม
6. การฉาบ
7. การกวน
8. การทำแยม/เยลลี่
9. การทำน้ำผลไม้
แต่ละชนิดมีขั้นตอนวิธีการทำดังนี้
1.การทำแห้ง
เป็นการทำให้น้ำระเหยออกไปจากอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
โดยให้มีความชื้นเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย จนจุลินทรีย์ไม่สามารถเจริญเติบโตได้
โดยการนำไปตากแดด หรืออบในตู้อบความร้อน ผัก ผลไม้
และเนื้อสัตว์ทุกชนิดสามารถนำมาทำแห้งได้
การเลือกผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์
ผัก ควรเป็นผักใบ
หรือผักเนื้อแน่น สด มีความแก่หรืออ่อนเท่ากัน
- ผักใบ เช่น
ใบโหระพา ใบกะเพรา ใบมะกรูด ผักชี ต้นหอม ชะอม สะเดา ผักกาด ผักกวางตุ้ง
- ผักเนื้อแน่นหรือผักหัว
เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย หัวหอม กระเทียม หัวผักกาด
ผลไม้ ควรเป็นผลไม้ที่แก้หรือสุกเต็มที่
กลิ่นดี มีสีสม่ำเสมอ (ถ้าผลไม้มีสีเขียวปน จะทำให้สีของ
ผลิตภัณฑ์ไม่สม่ำเสมอ ควรนำไปบ่มก่อน) ไม่ช้ำ
ไม่มีตำหนิ ไม่เน่าเสียขนาดผลเท่ากัน เช่น กล้วย ลำไย องุ่น พุทรา เงาะ ฯลฯ
เนื้อสัตว์ ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่มีความสด
- เนื้อวัว
สีชมพูอมแดง
- เนื้อหมู สีชมพู
ไขมันสีขาว ไม่มีพยาธิในลักษณะเมล็ดสาคู
- เนื้อไก่
สีไม่ซีด ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีรอยช้ำ
- ปลา สด หนัง
เกล็ดเป็นมันวาว ตาสดใส เหงือกสีแดงสด เนื้อแน่นแข็ง ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า
2.การทำเค็ม
เป็นการถนอมอาหารโดยใช้เกลือเป็นวัตถุกันเสียในการเก็บรักษาอาหารให้คงทนอยู่ได้นาน โดยไม่บูดเสีย อาจใช้สารเคมีบางอย่างเข้ามาช่วยในการแต่งปรุงรสได้
หลักสำคัญในการทำเค็ม
1. ทำอาหารให้สะอาด
2. คลุกด้วยเกลือ หรือแช่น้ำเกลือ/น้ำปลา
อาจใส่น้ำตาลเล็กน้อย เพื่อให้มีรสหวานก็ได้ ทิ้งให้เกลือซึมเข้าไปในอาหาร
3. ซับให้แห้งไปบ้าง และเอาออกตากแดดให้แห้งสนิทแล้วเก็บในที่มิดชิด
อากาศเข้าไม่ได้ อาหารที่ทำเค็มนี้จะเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน
การทำเค็มจากผัก/ผลไม้
- หัวผักกาดเค็ม (ไชโป๊) ทำจากหัวผักกาดใช้เวลาประมาณ 20 วัน
- กระหล่ำปลีเค็ม
ใช้เวลาประมาณ 7 วัน
- ตั้งฉ่าย
ทำจากก้านใบผักกาดขาวปลี หรือ กะหล่ำปลี ใช้เวลาประมาณ 45 วัน
- เกี๊ยมฉ่ายชนิดเค็ม
ทำจากผักกาดเขียวปลี ใช้เวลาประมาณ 20 วัน
- ซีเซ็กฉ่าย
ทำจากมะละกอ แตงไทย ผักกาดหัว มะเขือยาว ใช้เวลาประมาณ 10วัน
- เต้าเจี้ยว
ทำจากถั่วเหลือง กับเชื้อรา ใช้เวลาประมาณ 2 ½ เดือน
3.การหมักดอง
เป็นการถนอมอาหารโดยใช้ความเข้มข้นของเกลือ น้ำส้ม และน้ำตาลควบคุมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ โดยการจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมเพื่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์บางชนิดที่ผลิต กรดแลคติก และป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารบูดเน่าเจริญเติบโตในการถนอมอาหารชนิดนี้
ประเภทการหมักดอง มี 4 ประเภท
1. การหมักที่ทำให้เกิดแอลกอฮอล์
เช่น การทำไวน์ การทำเหล้า การทำเบียร์ กระแช่
2.การหมักที่ทำให้เกิดกรดอซิติก
เช่น การทำน้ำส้มสายชู
3. การหมักที่ทำให้เกิดกรดแลคติก
เช่น การทำนมเปรียว การดองผักต่าง ๆ แหนม
4.การหมักอื่น ๆ เช่น
การทำปลาร้า ปลาเจ่า กะปิ น้ำปลา เต๊าเจี้ยว
4.การเชื่อม
เป็นการเพิ่มปริมาณน้ำตาลในอาหารให้สูงขึ้น โดยใช้ความร้อน ทำให้อาหารสุกและน้ำตาลซึมผ่านเข้าไปในเนื้ออาหาร อาหารจะไม่เหี่ยวย่น และเก็บไว้ได้นาน น้ำตาลจะเป็นสารถนอมอาหารที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์
วิธีการเชื่อม มี 2 วิธี
1.การเชื่อมเร็ว ใช้ผัก/ผลไม้ที่เนื้อนุ่ม มีปริมาณน้ำมาก ซึ่งมีวิธีการทำคือ
1.1 ความเข้มข้นของน้ำเชื่อม 10
– 20 % ใช้น้ำตาล ½ - 1 ถ้วยตวงกับน้ำ 4 ถ้วยตวง เคี่ยวเป็นน้ำเชื่อมอย่างอ่อน
แล้วจึงใส่ผักหรือผลไม้ที่จะเชื่อมลงไปใช้เวลาประมาณ ½ ชั่วโมงโดยใช้ไฟอ่อน
ถ้าใช้เวลาเคี่ยวน้อยเกินไปจะทำให้มีกลิ่นน้ำตาลทรายทำให้อาหารไม่อร่อยและเสียง่าย
การเชื่อมลักษณะนี้เรียกว่า “ลอยแก้ว” นิยมใช้กับ ลูกตาล สับปะรด เงาะ ลิ้นจี่ แห้ว ลำไย กระท้อน มะม่วง ส้มโอ
ส้มเขียวหวาน ฯลฯ อาหารเชื่อมวิธีนี้เก็บได้ไม่นานต้องรับประทานให้หมด
ไม่ทิ้งค้างคืน ถ้าจะเก็บต้องแช่ในตู้เย็น
1.2 ความเข้มข้นของน้ำเชื่อม 30
– 40 % ใช้น้ำตาล 2 ถ้วยตวงกับน้ำ 4 ถ้วยตวง เคี่ยวเป็นน้ำเชื่อมกรอง แล้วตั้งไฟอีกครั้ง ใส่ผัก/ผลไม้ ลงเชื่อมเคี่ยวต่อไปประมาณ 1 ชั่วโมง
ด้วยไฟอ่อน อาหารจะดูดซึมน้ำเชื่อมได้ดี เนื้ออาหารจะมีความมันเป็นเงา ไม่เหี่ยว
น่ารับประทาน เมื่อทิ้งให้เย็น น้ำตาลจะไม่ตกผลึก สามารถเก็บได้นาน 1 สัปดาห์ โดยเทน้ำเชื่อมที่ร้อนจัดให้ท่วมเนื้ออาหาร เพื่อจะได้ไม่ขึ้นรา
นิยมใช้กับฟักทอง เผือก มันเทศ กล้วย มันสำปะหลัง
จาวตาล ฯลฯ
2.การเชื่อมแห้ง ควรใช้ผัก/ผลไม้ที่มีเนื้อแน่น มีเส้นใยมาก เพราะต้องใช้เวลาเคี่ยวนาน เช่น ฟักเขียว
สาเก มะตูม รากบัว เปลือกส้มโอ เปลือกมะนาว เปลือกแตงโม ความเข้มของน้ำเชื่อม 60
– 70 % ใช้น้ำตาล 4 – 6 ถ้วยตวง
กับน้ำ 4 ถ้วยตวง
ขั้นแรกเตรียมน้ำเชื่อมโดยใช้น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
กับน้ำ 4 ถ้วยตวง ตั้งไฟพอเดือด ใส่ ผัก/ผลไม้ ลงไปเคี่ยวพอสุกจึงค่อย ๆ เติมน้ำตาลทรายครั้งละ ½ ถ้วยตวง คนให้ละลาย เติมน้ำตาลทรายจนหมด
ใช้ไฟอ่อนเคียวต่อไปจนน้ำเชื่อมข้นเป็นยางตูมอ่อน\จึงตักอาหารขึ้น
หรือถ้าจะเก็บไว้บริโภคนานต้องเคี่ยวต่อไปอีกประมาณ 10 นาที แล้วตักอาหารขึ้นผึ่งบนตระแกรงจนแห้งสนิท จะมีผลึกน้ำตาลเคลือบอยู่
บรรจุในภาชนะที่แห้ง สะอาด ปิดสนิท จะเก็บได้นานประมาณ 1 เดือน
5.การแช่อิ่ม
เป็นการถนอมอาหารโดยค่อย
ๆ เพิ่มน้ำตาลเข้าไปในเนื้ออาหารจนกระทั่งอาหารนั้น อิ่มตัวด้วยน้ำตาล
ทำให้สภาพของอาหารไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ผัก/ผลไม้แช่อิ่มจึงสามารถเก็บได้นาน
ผลไม้ที่นิยมนำมาแช่อิ่ม ได้แก่ ผลไม้ที่กำลังห่าม หรือแก่จัด เนื้อแน่น เช่น มะละกอ สับปะรด พุทรา
มะยม ลูกตาล สาเก เงาะ จาวตาล มะม่วง มะดัน กระเจี๊ยบ ลำไย ลูกท้อ ฯลฯ
ถ้าใช้ผลไม้สุกจะได้เนื้อผลไม้แช่อิ่มที่เละไม่น่ารับประทาน
ผักที่นิยมมาแช่อิ่ม ได้แก่ ผักที่มีเนื้อแน่น หรือกินได้ทั้งเปลือก เช่น ขิง ฟักเขียว น้ำเต้า
ฟักทอง มะนาว มะเขือเทศ มะเขือไข่เต่า พริก มะระขี้นก ฯลฯ
6.การฉาบ
เป็นการทำให้อาหารสุกก่อนแล้วนำมาคลุกเคล้ากับน้ำเชื่อมที่อิ่มตัว
น้ำตาลจะเกาะติดเป็นเกล็ดขาว ๆ
หลักการฉาบ
1. สิ่งที่จะนำมาฉาบต้องเป็นของที่สุกแล้ว
2. น้ำเชื่อมที่จะฉาบต้องเคี่ยวให้แก่จัดมองเห็นเป็นเกล็ดน้ำตาลเวลาแห้งจะกลายเป็นน้ำตาล
3. เพื่อไม่ให้น้ำตาลที่เกาะกับของฉาบขึ้นเกล็ดเร็ว
ควรจะใส่น้ำมันหมูหรือน้ำมันพืช ผสมลงไปในน้ำเชื่อมเล็กน้อย
นอกจากนี้จะช่วยให้ผิวของที่ฉาบ เป็นมันน่ารับประทานขึ้น
ผลไม้ที่นิยมฉาบ ได้แก่
กล้วยทุกชนิด เมล็ดเงาะ เมล็ดมะม่วงหิมะพานต์ เผือก มันต่าง ๆ
7.การกวน
เป็นวิธีการถนอมอาหารโดยการนำเอาผัก ผลไม้ หรือธัญพืชมาผสมกับน้ำตาล ใช้ความร้อนเคี่ยวกวนจนปริมาณน้ำลดน้อยลงและผสมเป็นเนื้อเดียวกัน
อาหารชนิดนี้เก็บได้นาน เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูง ประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ (โดยน้ำหนัก) สามารยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้
ผัก/ผลไม้ที่นิยมนำมากวน ได้แก่ สับปะรด ทุเรียน พุทรา กระท้อน มะปราง มะม่วงดิบ มะละกอ ข้าวเหนียว
ข้าวฟ่าง ขิง มะยม มะเฟือง มะดัน กล้วย ฟักทอง มันเทศ และถั่วต่าง ๆ
การกวนมี 3 ประเภท
1การกวนโดยใช้น้ำตาลกับน้ำ ใช้กับ พุทรา มะขาม กระท้อน มะปราง มะม่วงดิบ
มะละกอ ข้าวเหนียว ข้างฟ่าง
2.การกวนโดยใช้น้ำตาลกับกะทิ ใช้กับ กล้วย ฟักทอง เผือก มันเทศ ถั่วต่าง ๆ
เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว
3. การกวนโดยใช้น้ำตาลอย่างเดียว ใช้กับสับปะรด มะม่วงสุก มะละกอสุก มะดัน
มะเฟือง ทุเรียน มังคุด มะยม
8.การทำแยม/เยลลี่
แยม หมายถึง
อาหารหวานที่ทำจากเนื้อผลไม้หรือน้ำตาล แต่มีลักษณะเหนียวกว่าการกวนใช้ทาขนมปังได้
เยลลี่ หมายถึง
ส่วนประกอบของน้ำผลไม้กับน้ำตาล มีลักษณะใสอ่อนนุ่ม คล้ายวุ้น แต่ไม่เหนียวหนืดไม่เหลว
และคงรูปเดิมเมื่อถอดออกจากพิมพ์ เมื่อตัดด้วยมีดจะเป็นเหลี่ยมตามรอยมีด
ในขณะเดียวกันยังคงมีความหยุ่นตัวแม้แตะเพียงเบา ๆ ก็ไหว นอกจากนั้นยังมีกลิ่นรสซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผลไม้นั้นเหลืออยู่
หลักการทำแยม
1. ใช้เนื้อของผลไม้ อาจจะต้มให้เปื่อย หรือนำไปบดให้เป็นเนื้อเดียวกัน
2. ควรใช้ไฟอ่อน เมื่อคนจนน้ำตาลในส่วนผสมละลายแล้ว
ควรเพิ่มไฟให้แรงขึ้นเพื่อให้ได้แยมสีใสเป็นประกาย
หลักการทำเยลลี่
1. ทดสอบเพคตินที่มีในน้ำผลไม้ โดยใช้น้ำผลไม้ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับแอลกอฮอล์ 95 %ประมาณ 1
– 3 ช้อนโต๊ะ เขย่าให้เข้ากัน
ถ้าเกิดตะกอนในลักษณะที่จับตัวกันคล้ายวุ้น แสดงว่ามีเพคติน
2. ถ้าปริมาณเพคตินในน้ำผลไม้มีมาก การเติมกรดและน้ำตาลในการทำเยลลี่ต้องมากขึ้นด้วย
3. ถ้าปริมาณเพคตินในน้ำผลไม้มีน้อย
อาจเติมเพคตินผงลงในน้ำผลไม้ที่จะทำเยลลี่
เพราะเพคตินจะช่วยในการทรงตัวของเยลลี่ได้ดี
4. ลักษณะเยลลี่ที่ดีต้องดูใส โปร่งแสง มีความยืดหยุ่น ทรงตัวไม่มีฟองอากาศ
5. ในการทำเยลลี่ให้ได้ผลดี ต้องมีการควบคุมน้ำตาล กรดและระยะเวลาในการหุงต้ม
เพื่อที่จะทำให้เพคตินในน้ำตาลจับตัวกันเป็นร่างแห
เมื่ออุ้มน้ำผลไม้เอาไว้ให้เกาะตัวกันมีลักษณะเป็นวุ้นที่หยุ่นตัวได้
6. ควรใช้ผลไม้ห่ามดีที่สุด เพราะจะทำให้รสชาติดีขึ้นเนื้อเยลลี่จะใสและปริมาณเพคตินก็มากพอที่จะจับตัวเป็นวุ้น
9.การทำน้ำผลไม้
น้ำผลไม้
เป็นของเหลวที่สกัดออกจากผลไม้ ประกอบด้วยวิตามินซี
และเกลือแร่อันมีความสำคัญยิ่งต่อร่างกายของมนุษย์ ทั้งในยามปกติและในยามเจ็บไข้
วิตามินที่สำคัญในน้ำผลไม้ คือ วิตามินซี และคาโรทีน
ซึ่งเป็นสารกำเนิดของวิตามินเอ
ขั้นตอนต่าง ๆ
ในการปฏิบัติที่ถูกต้องของการทำน้ำผลไม้
1. เลือกผลไม้ที่สุกพอดี ไม่ช้ำ ไม่มีรา หรือไม่มีรอยแมลงกัดกิน
2. ล้างผลไม้ให้สะอาด
3. การคั้นน้ำหรือสกัดน้ำ
3.1 ผลไม้ที่คั้นสด
ๆ นำมาตัดหรือย่อยเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือตีด้วยเครื่องตีเนื้อผลไม้ ในกรณี มะนาว
หรือส้ม ผ่าครึ่งบีบด้วยเครื่องบีบ กรองเอากากออก
3.2 ผลไม้ที่ต้องต้มก่อนจึงจะสกัดน้ำได้
เช่น พุทรา มะขาม นำมาต้มกับน้ำ กรองเอากากออก
4. การผสม น้ำผลไม้บางชนิด เมื่อถูกความร้อนจะทำให้คุณภาพเสีย ดังนั้นควรใช้น้ำเชื่อมแล้วผสมเติม
กรดซิตริก
หรือกรดมะนาวช่วย ในการทำให้รสเปรี้ยวตามความต้องการ บางคนอาจชอบใส่เกลือด้วยในชั้นนี้
เราอาจผสมน้ำผลไม้ตามตำรับที่เราชอบโดยดัดแปลงส่วนผสมต่าง ๆ
หมายเหตุ วิธีทำน้ำเชื่อม
ใช้น้ำตาลทราย 2 กิโลกรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร ต้มให้เดือด
กรอง
5. การเก็บ ถ้าเก็บไว้รับประทานหลายวัน ควรต้มให้เดือดก่อนบรรจุขวดที่สะอาด
ปิดจุก เก็บในที่เย็นถ้าจะเก็บไว้ในอุณหภูมิธรรมดา ควรเติมโซเดียมเบนโซเอท 0.5 กรัม หรือประมาณ ¼ ช้อนชา ต่อน้ำผลไม้หวานเข้มข้น 1 ลิตร ก่อนบรรจุขวด
6.การทำเป็นเครื่องดื่ม
เมื่อต้องการดื่มนำผสมน้ำและเติมน้ำแข็งให้ได้รสตามความพอใจ
การทำข้าวเกรียบ
เป็นการแปรรูปอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายน้อยและยังเป็นการถนอมอาหารอีกวิธีหนึ่งด้วย
ข้าวเกรียบมะละกอ
- มะละกอสุกบด 200 กรัม
- แป้งมันสำปะหลัง 250 กรัม
- เกลือป่น 2 ช้อนชา
- กระเทียมโขลกละเอียด 2 ช้อนชา
- พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
- น้ำตาลทรราย 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำเดือด

วิธีทำข้าวเกรียบฟักทอง
- นึ่งฟักทองให้สุก ยีฟักทองให้ละเอียดเนื้อเนียน
- ผสมแป้งมันสำปะหลัง ฟักทองบด กระเทียม พริกไทย เกลือ น้ำตาลทรายเข้าด้วยกัน นวด ส่วนผสมให้เข้ากัน ค่อยๆเติมน้ำเดือดนวดไปเรื่อยๆ จนเข้ากันและปั้นได้
- นำส่วนผสมที่เข้ากันมาปั้นเป็นแท่งยาว เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว
- เรียงแท่งข้าวเกรียบลงในรังถึง ที่ทาน้ำมันพืชไว้ อย่าวางชิดกันมากเพื่อให้ไอน้ำขึ้นมาได้ นึ่งในน้ำเดือดไฟแกรง 40 นาที ทิ้งไว้ให้เย็นเก็บใส่ถุึงพลาสติก พักไว้ 1 คืน
- หั่นเป็นแว่นบางๆ ตากแดดจนแห้งสนิท เก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิด
* หมายเหตุ :
- ต้องพักแท่งข้าวเกรียบไว้หนึ่งคืนก่อนหั่น มิฉะนั้นจะเหนียวเหนอะหนะ หั่นยาก
- เวลาจะรับประทาน ทอดในน้ำมันร้อน ไฟอ่อน โดยใช้น้ำมันมากในการทอด พอข้าว เกรียบพองกรอบ สีนวล ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
- น้ำมันที่เหมาะกับอาหารทอดคือน้ำมันปาล์ม

อ้างอิง
http://www.vegetweb.com/food/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87/ (วิธีการทำข้าวเกรียบ)
http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_15_4.htm (สรรพคุณของมะละกอ)
http://www.kmlanna.com/index.php?name=blog&file=readblog&id=26 (การถนอมอาหาร)
http://www.kmlanna.com/index.php?name=blog&file=readblog&id=26 (การถนอมอาหาร)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น